12เรื่องพระเทวทัต
เมื่อพระศาสดาประทับอยู่ที่วัดพระเชตวันกรุงสาวัตถี
ได้ตรัสพระธรรมบทพระคาถาที่ 17 โดยปรารภพระเทวทัต
ครั้งหนึ่งพระเทวทัตพำนักอยู่กับพระศาสดาที่กรุงโกสัมพี
ขณะที่พำนักอยู่ ณ
ที่นั้นพระเทวทัตมีความตระหนักว่าพระศาสดาทรงได้รับความเคารพ
ความนับถือและลาภจากประชาชนมาก
จึงมีความริษยาพระศาสดาและมีความปรารถนาอยากเป็นประมุขสงฆ์ วันหนึ่งขณะที่พระศาสดาทรงแสดงพระธรรมเทศนาอยู่ที่วัดพระเวฬุวันนครราชคฤห์
ก็ได้เข้าไปเฝ้าพระศาสดาทูลว่าพระองค์ทรงชราภาพแล้วควรจะได้ถ่ายโอนความรับผิดชอบคณะสงฆ์ให้แก่พระเทวทัตเสีย
พระศาสดาทรงปฏิเสธข้อเสนอของพระเทวทัตโดยตรัสว่าพระเทวทัตเป็น “บุคคลกลืนกินน้ำลายของผู้อื่น”
ต่อมาพระศาสดาได้ทรงขอให้พระสงฆ์ดำเนินการ “ประกาศนียกรรม”
(ทำนองลอยแพไม่คบหาสมาคมด้วย)ต่อพระเทวทัต
พระเทวทัตมีความเดือดร้อนและประกาศว่าจะทำการแก้เผ็ดพระศาสดา ท่านได้พยายามสังหารพระศาสดาถึง 3
ครั้ง โดยครั้งแรกไปว่าจ้างนายขมังธนูให้มาลอบยิง
ครั้งที่สองขึ้นไปกลิ้งหินลงมาจากภูเขาคิชฌกูฏเพื่อจะให้ทับพระศาสดา
และครั้งที่สามปล่อยช้างนาฬาคิรีให้เข้าทำร้าย
ทว่านายขมังธนูไม่สามารถทำร้ายพระศาสดาได้และได้เดินทางกลับไปหลังจากที่ได้ฟังพระธรรมเทศนาของพระศาสดาจนได้บรรลุพระโสดาปัตติผลแล้ว
หินที่กลิ้งลงมาจากเขาคิชฌกูฏไม่สามารถทำร้ายพระศาสดาเพียงแต่มีสะเก็ดหินแตกมากระทบแค่ทำให้พระโลหิตห้อเท่านั้น และเมื่อช้างนาฬาคีรีวิ่งมาจะทำร้ายพระศาสดาได้ทรงแผ่เมตตาให้จนช้างนั้นเชื่อง แต่พระเทวทัตก็ยังไม่ละความพยายาม ได้พยายามหาเล่ห์เพทุบายอย่างอื่น
โดยได้พยายามทำลายสงฆ์ด้วยการแยกพระบวชใหม่จำนวนหนึ่งไปอยู่ที่คยาสีสะ
แต่อย่างไรก็ตามในที่สุดพระเหล่านี้ได้ถูกพระสารีบุตรและพระมหาโมคคัลลานะพากลับมาได้สำเร็จ
ต่อมาพระเทวทัตอาพาธหนัก เมื่อท่านอาพาธอยู่ได้ 9
เดือนก็ได้ขอให้สานุศิษย์พาท่านมาเพื่อจะเฝ้าพระศาสดา
พวกศิษย์จึงหามท่านมาขึ้นแคร่ที่วัดพระเชตวัน
เมื่อพระศาสดาได้สดับว่าพระเทวทัตถูกหามมาเฝ้าก็ได้ตรัสกับภิกษุทั้งหลายว่าพระเทวทัตไม่มีโอกาสที่จะได้เฝ้าพระองค์
เมื่อพระเทวทัตและคณะเดินทางมาถึงที่สระในบริเวณพระเชตวัน พวกศิษย์ที่ทำหน้าหามได้วางแคร่ลงที่ริมสระและได้ลงไปอาบน้ำกันอยู่นั้น
พระเทวทัตได้ลุกขึ้นจากแคร่แล้ววางเท้าลงที่พื้นดิน
พลันเท้าทั้งสองข้างของท่านก็ถูกธรณีสูบจมหายลงไปในแผ่นดิน ที่พระเทวทัตไม่มีโอกาสได้เฝ้าพระศาสดาก็เพราะกรรมชั่วที่ท่านได้กระทำต่อพระศาสดา หลังจากถูกธรณีสูบแล้วพระเทวทัตได้ไปเกิดในนรกขุมอเวจี
อันเป็นนรกที่ถูกทรมานอย่างโหดร้ายรุนแรงอย่างต่อเนื่อง
จากนั้นพระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบทพระคาถาที่ 17
ว่า
อิธ ตปฺปติ เปจจ ตปฺปติ
ปาปการี อุภยตฺถ ตปฺปติ
ปาปํ เม กตนฺติ ตปฺปติ
ภิยฺโย ตปฺปติ ทุคฺคตึ คโตฯ
คนทำบาปย่อมเดือดร้อนในโลกทั้งสอง
คือย่อมเดือดร้อนในโลกนี้
ละจากโลกนี้ไปแล้ว ย่อมเดือดร้อนในโลกหน้า
เขาเดือดร้อนในขณะมีชีวิตว่าเราทำบาปไว้แล้ว
เมื่อไปสู่ทุคคติก็ย่อมเดือดร้อนยิ่งขึ้นอีก
ชนเป็นอันมากบรรลุโสดาปัตติผลเป็นต้น
พระธรรมเทศนาได้มีประโยชน์แก่มหาชน.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น